วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2551

การพัฒนาประเทศ

ตั้งแต่เถลิงถวัลย์สิริสมบัติ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ การเสด็จพระราชดำเนินดังกล่าวเปรียบประดุจดังการสร้าง "พระคลังข้อมูลด้านการพัฒนา" โครงการพัฒนาอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ ตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 2,400 โครงการ การพัฒนาตามแนวพระราชดำรินั้น พระองค์ทรงให้ความสำคัญ ที่การพัฒนาคน ให้อยู่ได้ด้วยการพึ่งตนเอง ซึ่งเป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน พระองค์ทรงใช้หลักในการพัฒนาที่เป็นเหตุเป็นผล โดยคำนึงถึงความ รวดเร็ว และทันต่อเหตุการณ์ ทรงเน้นการประยุกต์ศาสตร์แขนงต่างๆ มาใช้อย่างเหมาะสมกับแนวทางการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม ดังจะเห็นได้จากพระราชกรณียกิจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทรงกระทำสืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเกษตร สิ่งแวดล้อม การพลังงาน การสาธารณสุข การคมนาคม การพัฒนาแหล่งน้ำ และเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น พระปรีชาสามารถในการนำเอาความรู้ความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการทำนุบำรุงประเทศนั้นเป็นที่ทราบกันดี ไม่เพียงแต่หมู่พสกนิกรชาวไทยเท่านั้น แต่พระเกียรติคุณ ยังได้แผ่กระจายไปยังชาวต่างประเทศอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากรางวัลที่องค์กรต่างๆทูลเกล้าฯ ถวาย อาทิ เช่น รางวัลแมกไซไซ รางวัลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (มูลนิธิโทเรเพื่อ การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศไทย) และปริญญากิตติมศักดิ์ เป็นต้น ผลจากการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ ได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้วในปัจจุบัน กล่าวคือ ประชาชนเหล่านั้นมีสภาพชุมชนและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ก็ด้วยพระราชอัจฉริยภาพ และสายพระเนตรอันกว้างไกลของพระองค์ จึงสมควรแล้วที่จะเทิดทูนว่าพระองค์ คือ พระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ยิ่งใหญ่ในโลกปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำริที่จะริเริ่มกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2494 หลังจากนั้น ในช่วงปี พ.ศ. 2494-2504 เป็นช่วงที่พระองค์มีพระราชภารกิจมากมาย โดยเฉพาะ-อย่างยิ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนไทยต้องเสี่ยงกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาทิเช่น โรคเรื้อน โปลิโอ อหิวาตกโรค เป็นต้น เนื่องจากการแพทย์ ยังไม่ก้าวหน้าและการบริการสาธารณสุขยังไม่แพร่หลาย จึงได้ทรงช่วยเหลือสังคม โดยทรงริเริ่ม สร้างภาพยนตร์ขึ้น เรียกว่า ภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ออกฉายเพื่อหารายได้มาดำเนินการกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการ สร้างอาคารทางการแพทย์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรงพยาบาลภูมิพลในปัจจุบัน, สร้างตึกวชิราลงกรณ์ สภากาชาดไทย ตั้งสถาบันราชประชาสมาสัย เพื่อผู้ป่วยโรคเรื้อน, ทรงรับองค์การกุศลต่างๆ ให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ เช่น สภากาชาด อีกทั้งยังทรงช่วยประสานงานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง และทรงติดตามผลด้วยพระองค์เองอย่างต่อเนื่อง ทรงริเริ่มโครงการต่างๆมากมาย อาทิ โครงการแพทย์หลวง พระราชทาน "เรือเวชพาหน์" เพื่อใช้เป็นหน่วยเคลื่อนที่รักษาราษฎร ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำ, มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ทรงจัดตั้งเพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศล ทรงเห็นว่า การศึกษา และการสาธารณสุข เป็นพื้นฐานสำคัญในการวางรากฐานของการพัฒนาประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงเริ่มออกเยี่ยมเยียนประชาชนตามภูมิภาคต่างๆ ในช่วงปี พ.ศ. 2495-2496 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ ชนบท ภาคกลางก่อนเป็นภาคแรก ทั้งที่เป็นการส่วนพระองค์และอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2498 ได้ทรงเสด็จ พระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปี พ.ศ. 2499 และ พ.ศ. 2501 เสด็จพระราชดำเนิน ไปภาคเหนือและภาคใต้ และการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนพสกนิกรทั่วทุกภูมิภาคนี้ เปรียบประดุจดั่งการสร้าง "พระคลังข้อมูลด้านการพัฒนา" ทรงคำนึงด้วยพระเมตตาธรรมว่า "หากพสกนิกรของพระองค์สามารถพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติในส่วนรวมได้ในที่สุด"

ไม่มีความคิดเห็น: